ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บบล็อกด้วยความยินดีครับ/ค่ะ

สวัสดีค่ะผู้เข้าเยี่ยมชม Blogger ทุกคนนะค่ะ สำหรับ Blogger นี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครู โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับ

1. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 2. ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 3. การสื่อสารการเรียนการสอน 4. คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์ 5. ซอฟต์แวร์ 6. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 7. อินเตอร์เน็ต 8. ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์และอ้างอิง 9. การประยุคต์ใช้

ข้อมูลใน Blogger นี้ได้ผ่านการไตร่ตรองเป็นอย่างดี มีรูปภาพประกอบที่สวยงาม หวังว่า Blogger นี้จะเป็นประโยชน์กับผู้เยี่ยมชมเป็นอย่างมาก ถ้ามีสิ่งใดผิดพลาดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะค่

คำอธิบายรายวิชา
........ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยี สารสนเทศ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เช่น ไมโครซอฟท์คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ระบบการสื่อสารข้อมูล ระบบเน็ตเวิร์ค ระบบซอฟท์แวร์ การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ เครื่องมือการเข้าถึงสารสนเทศ ทักษะการเข้าถึงสารสนเทศ ฐานข้อมูลสารสนเทศ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์และการอ้างอิง ฝึกปฏิบัติการ สามารถใช้คอมพวิเตอร์ขั้นพื้นฐานและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้อย่าง เหมาะสมได้

วัตถุประสงค์ในรายวิชา
........เมื่อผู้เรียนศึกษาเนื้อหาบทเรียนจบแล้วตามหลักสูตรแล้วจะมีพฤติกรรมหรือความสามารถดังนี้
1. อธิบายความหมาย ความสำคัญ และองค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศได้
2. อธิบายความสัมพันธ์ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้
3. ยกตัวอย่างเทคโนดลยีสารสนเทศและการสื่อสารในชีวิตจริงได้
4. อธิบายความหมายและความสำคัญของวิธีระบบได้
5. อธิบายความสัมพันธ์ของวิธีระบบกับเทคโนโลยีสารสนเทศได้
6. บอกความหมายและองค์ประสกอบสำคัญๆของคอมพิวเตอร์ได้
7. อธิบายหน้าที่ขององค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ได้

8. บอกประเภทและคุณสมบัติของซอฟท์แวร์แต่ละประเภทได้
9. บอกความหมายและความสำคัญของอินเตอร์เน็ตได้
10. บอกความสัมพันธ์ของเครือขายคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้
11. อธิบายแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ที่สามารถเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายได้

12. อธิบายวิธีประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการศึกษาได้
13. ยกตัวอย่างโปรแกรมต่าง ๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนได้
14. สร้างสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนการสอนได้
15. นำเสนอสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งที่เป็นสื่อทั่วไปและสื่อระบบเครือข่ายได้


เนื้อหาบทเรียน
หน่วยการเรียนที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
หน่วยการเรียนที่ 2 ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
หน่วยการเรียนที่ 3 คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์
หน่วยการเรียนที่ 4 ซอฟต์แวร์
หน่วยการเรียนที่ 5 ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
หน่วยการเรียนที่ 6 อินเตอร์เน็ต
หน่วยการเรียนที่ 7 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน
หน่วยการเรียนที่ 8 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการนำเสนอผลงาน

บทที่ 7

หน่วยที่ 7 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี     สารสนเทศกับการเรียนการสอน

แหล่งข้อมูลการสืบค้นบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
    
         หลักการค้นหาข้อมูลความรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
         ใน การทำงานต่างๆ เช่น นักศึกษาทำการบ้านหรือทำรายงานส่งอาจารย์ หรือพนักงานบริษัทเตรียมการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ มักจะต้องมีการหาข้อมูลประกอบการทำงานนั้นๆ บางครั้งข้อมูลอาจเป็นเพียงข้อมูลง่ายๆ เช่น ราคาสินค้า อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับดอลลาร์สหัสรัฐ เป็นต้น แต่บางครั้งอาจเป็นข้อมูลเชิงลึกที่ต้องมีการวิเคราะห์ เช่น แนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วง 1-2 ปี ซึ่งต้องมีการพิจารณาปัจจัยต่างๆ รวมถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดหรือไม่เกิดในอนาคตประกอบด้วย ดังนั้นคำว่าข้อมูลความรู้ในที่นี้ จะรวมหมายถึงตั้งแต่ข้อมูลพื้นฐาน และข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลและ/หรือจัดหมวดหมู่แล้วซึ่งเรียกว่า สารสนเทศ ตลอดจนถึงข้อมูลเชิงลึกที่มีการวิเคราะห์ซึ่งควรจะเรียกได้ว่าความรู้ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราสามารถค้นหาได้จากเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ต่อไปนี้เราจะใช้คำว่าข้อมูลในความหมายกว้างที่รวมทั้งข้อมูล สารสนเทศ และความรู้ด้วย

        หลักการค้นหาข้อมูลมีดังต่อไปนี้
1. ต้องมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับข้อมูลที่ต้องการ คือ
       1.1 รู้ว่าข้อมูลที่ต้องการนั้นเป็นข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องอะไร
       1.2 รู้ว่าแหล่งข้อมูลที่มีข้อมูลนั้น น่าจะเป็นหน่วยงานใด
       1.3 รู้ว่าสำคัญที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลนั้น มีอะไรบ้าง
2. ต้องรู้จักวิธีเข้าเว็บไซต์ต่าง (นักเรียนคงมีโอกาสได้เรียนรู้ในชั่วโมงปฎิบัติการ)
3. ต้องรู้จักวิธีใ้ช้โปรแกรมสืบค้นข้อมูล หรือ เซิร์จเอ็นจิน (Search engine) ซึ่งจะมีรายละเอียดในหน่วยการเรียนรู้นี้
4. ต้องรู้จักใช้ดุลพินิจว่า
      4.1 ข้อมูลที่ได้มาเป็นข้อมูลที่ตรงกับความต้องการหรือไม่
      4.2 ข้อมูลที่ได้มาเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้หรือไม่ทั้งสองประเด็นนี้ จะมีคำแนะนำในหน่วยการเรียนรู้นี้ การสืบค้นข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

       เนื่องจากอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นระบบขนาด ใหญ่ ซึ่งประกอบไปด้วยแฟ้มข้อมูลต่างๆมากมายที่จะให้เราได้ทำการ สืบค้นเพื่อนำมาใช้งาน ซึ่งข้อมูลนั้นได้มาจากการจัดทำด้วยโปรแกรมจัดการฐานข้อมูล ให้บริการผ่านจอคอมพิวเตอร์จากเครื่องหนึ่งไปสู่อีกเครื่องหนึ่ง ผู้ใช้บริการสามารถค้นหาข้อมูลได้ด้วยตนเอง จากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จุดใดๆ ก็ได้ จากการใช้โปรแกรมอ่านเอกสารในระบบอินเตอร์เน็ต หรือบราวเซอร์นั่นเอง

สิ่งจำเป็นในการสืบค้นหาข้อมูล
        1. ที่อยู่ของเว็บไซต์ที่ต้องการค้น ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เราสามารถติดต่อได้กับคนทั่วโลกอย่างไม่มีขอบ เขต สามารถเข้าถึงระบบสารสนเทศต่าง ๆ ข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับก็มีอยู่มากมาย ซึ่งผู้ใช้ข้อมูลจำเป็นต้องเรียนรู้การเลือกข้อมูล ให้ได้ตรงกับความต้องการ ดังนั้น ผู้ใช้ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตจึงจำเป็นต้องทราบที่อยู่ของผู้ให้ บริการข้อมูล นั่นก็คือ ทราบ Url หรือ Address ของผู้ให้บริการข้อมูลนั่นเอง
       2. รู้จักวิธีการค้นข้อมูล
       3. รู้จักวิธีการอ่านผลการสืบค้น หลัง จากที่ได้เริ่มต้นทำการพิมพ์คำที่ต้องการค้นหา หรือ เลือกรายการหมวดหมู่เมนูการค้น ผู้ค้นข้อมูลจะต้องติดตามผลการค้นจนกว่าจะได้ข้อมูลครบตามที่ต้องการ สำหรับ ผู้ให้บริการค้นข้อมูลก็จะต้องอำนวยความสะดวก ทั้งการจัดทำหน้าจอสำหรับการ สืบค้น และการจัดลำดับหัวข้อเรื่องให้กับผู้ใช้บริการด้วย
      4. รู้จักวิธีการจัดเก็บผลการสืบค้น
      5. รู้วิธีการเผยแพร่การสืบค้น

วิธีการสืบค้นข้อมูลสามารถทำได้ 2 วิธีดังนี้
      1. การค้นหาข้อมูลโดยการใช้คำค้นหา วิธีนี้เหมาะกับการหาข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจงเนื้อหา โดยการพิมพ์คำหรือข้อความที่ต้องการค้นส่งไปในช่องสำหรับค้นหา
      2. การค้นหาข้อมูลจากรายการข้อมูลที่จัดทำเป็นหมวดหมู่ไว้แล้ว วิธีนี้เหมาะกับการค้นหาข้อมูลที่เป็นหมวดใหญ่ ๆ หรือการค้นหาแบบกว้าง ๆ 

ประเภทการสืบค้นข้อมูล
       เนื่องจากภายในอินเทอร์เน็ต มีข้อมูลอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงได้มีผู้ที่รวบรวมข้อมูลเหล่านั้นให้เป็นหมวดหมู่ ที่จะง่ายต่อการค้นหา ซึ่งเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่นี้ คือ เว็บไซต์ค้นหาข้อมูล (Search Engines) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
        Search Engines เป็นเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลที่ใช้โปรแกรมอัตโนมัติ (Robot)ในการค้นหา และรวบรวมข้อมูล ของเว็บไซต์ต่างๆ เว็บไซต์ประเภทนี้จะเหมาะสำหรับการค้นหา  ข้อมูล แบบจำเพาะเจาะจง ตัวอย่างการค้นหาข้อมูล โดยใช้เว็บประเภท โดยใช้เว็บไซต์ ซึ่งทำได้โดยคลิกเมาส์เลือกชื่อของหมวดหมู่เว็บที่น่าสนใจ จากนั้นชื่อเว็บที่ต้องการก็จะปรากฏขึ้น
        Search Directories เป็นเว็บไซต์ที่ทำการค้นหาข้อมูล โดยมีการจัดหมวดหมู่ของข้อมูลที่เหมาะสมแต่ก็มีข้อจำกัด คือ ปริมาณข้อมูลอาจจะไม่ครอบคลุมทุกเว็บไซต์ เว็บไซต์ข้อมูลประเภทนี้เหมาะสม กับการค้นหาข้อมูลที่เป็นหมวดใหญ่ ๆ 

ลักษณะการค้นหาข้อมูลของ Search
        โดยทั่วไป Search Engine แบ่งลักษณะรูปแบบการค้นหา เป็น 3 ลักษณะ คือ
        1. การค้นแบบนามานุกรม (Directory) หมาย ถึงการแจ้งแหล่งที่ตั้ง ซึ่งบรรจุเนื้อหาหรือเว็บไซต์ต่างๆ ไว้เป็นหมวดหมู่หรือกลุ่มใหญ่ ๆ และแต่ละกลุ่มจะแบ่งเป็นเรื่องย่อยๆ ต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกับหลักการจัดหมวดหมู่หนังสือในห้องสมุด ซึ่งการจัดทำแบบนามานุกรมนี้มีข้อดีคือ ช่วยให้ผู้ใช้ได้ข้อมูลที่ตรงกับความต้องการ เนื่องจากนำข้อมูลมาจัดหมวดหมู่ไว้อย่างเป็นระบบ และสามารถกำหนดค้นได้ง่ายในหัวข้อโดยเลือกจากรายการที่ทำไว้แล้ว เว็บไซต์ที่มีการจัดเรียงข้อมูลไว้แบบนามานุกรม เช่น www.yahoo.com, www.lycos.com,www.sanook.com, www.siamguru.com เป็นต้น
        ตัวอย่าง การค้นแบบนามานุกรม ของ www.sanook.com รายการกลุ่มเรื่องแบ่งออกเป็น
หมวดหมู่ใหญ่ 14 หมวดหมู่เช่น กีฬา ท่องเที่ยว อินเทอร์เน็ต ฯลฯ การแบ่งกลุ่มเรื่องย่อยๆ
ของแต่ละกลุ่มและแบ่งย่อยลงเรื่อยๆจนกระทั่งระบุเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
        2. การค้นหาแบบดรรชนี (Index) หรือคำสำคัญ (Keywords) เป็นการค้นหาข้อมูลในลักษณะคำหรือวลี ข้อความต่างๆ ที่อาจจะเป็นคำสำคัญ (Keyword) ในการค้นหาลักษณะนี้ตัวโปรแกรมหรือเว็บไซต์จะมีเครื่องมือช่วยในการทำดรรชนี ค้นที่เรียกว่า Spider หรือ Robot หรือ Crawler ทำหน้าที่เช็คตามหน้าเว็บต่างๆ ของเว็บไซต์ที่มีการเปิดดูอยู่ แล้วนำคำที่ค้นมาจัดทำเป็นดรรชนีค้นหาโดยอัตโนมัติ ซึ่งการค้นแบบนี้จะสามารถค้นหาเว็บเพจใหม่ๆและทันสมัยมากกว่าการค้นแบบ นามานุกรม แต่ทั้งนี้การสืบค้นแบบนี้จะต้องมีเทคนิควิธีการค้นเฉพาะด้านด้วย เช่น การ ใช้ตรรกบูลีน (Boolean Logic) หรือโอเปอเรเตอร์ (Operator) เป็นต้น โดยวิธีการ เช่นนี้จะมีความรวดเร็วมาก แต่มีความละเอียดในการจัดแยกหมวดหมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อย เนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดของเนื้อหาเท่าที่ควร
        3. การค้นหาแบบ Met search Engines จุดเด่นของการค้นหาด้วยวิธีการนี้ คือ สามารถเชื่อมโยงไปยัง Search Engine ประเภทอื่นๆ และยังมีความหลากหลายของข้อมูล แต่การค้นหาด้วยวิธีนี้มีจุดด้อย คือ วิธีการนี้จะไม่ให้ความสำคัญกับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษร และมักจะผ่านเลยคำประเภท Natural Language (ภาษาพูด) ดังนั้น หากจะใช้ Search Engine แบบนี้ละก็ ขอให้ตระหนักถึงข้อบกพร่องเหล่านี้ด้วย

การค้นหาข้อมูล
       * 1.เครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบต่าง ๆ และข้อมูลที่มีอยู่ในเครือข่าย 
        · อินทราเน็ต (Intranet) คือ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบภายในองค์กร ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ในการใช้งานอินทราเน็ตจะต้องใช้โพรโทคอล IP เหมือนกับอินเทอร์เน็ต สามารถมีเว็บไซต์และใช้เว็บเบราว์เซอร์ได้เช่นกัน รวมถึงอีเมล ถ้าเราเชื่อมต่ออินทราเน็ตของเรากับอินเทอร์เน็ต เราก็สามารถใช้ได้ทั้ง อินเทอร์เน็ต และ อินทราเน็ต ไปพร้อม ๆ กัน แต่ในการใช้งานนั้นจะแตกต่างกันด้านความเร็ว ในการโหลดไฟล์ใหญ่ ๆ จากเว็บไซต์ในอินทราเน็ต จะรวดเร็วกว่าการโหลดจากอินเทอร์เน็ตมาก ดังนั้นประโยชน์ที่จะได้รับจากอินทราเน็ต สำหรับองค์กรหนึ่ง คือ สามารถใช้ความสามารถต่าง ๆ ที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
       · เอกซ์ทราเน็ต (Extranet) คือระบบเครือข่ายซึ่งเชื่อมเครือข่ายภายในองค์กร หรือ อินทราเน็ต (intranet) เข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายนอกองค์กร เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ของสาขาของผู้จัดจำหน่าย หรือของลูกค้า เป็นต้น โดยการเชื่อมต่อเครือข่ายอาจเป็นได้ทั้งการเชื่อมต่อโดยตรงระหว่าง 72 จุด หรือการเชื่อมต่อแบบเครือข่ายเสมือน (virtual network) ระหว่างระบบอินทราเน็ตหลาย ๆ เครือข่ายผ่านอินเทอร์เน็ตก็ได้
ระบบเครือข่ายแบบเอกซ์ทราเน็ต โดยปกติแล้วจะอนุญาตให้ใช้งานเฉพาะสมาชิกขององค์กร หรือผู้ที่ได้รับสิทธิในการใช้งานเท่านั้น โดยผู้ใช้จากภายนอกที่เชื่อมต่อเข้ามาผ่านเครือข่ายเอกซ์ทราเน็ต อาจแบ่งเป็นประเภท ๆ เช่น ผู้ดูแลระบบ สมาชิก คู่ค้า หรือผู้สนใจทั่ว ๆ ไป เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้แต่ละกลุ่มจะได้รับสิทธิในการเข้าใช้งานเครือข่ายที่แตกต่างกันไป
      · อินเทอร์เน็ต (Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลาย ๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล (protocol) ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้ในหลาย ๆ ทาง อาทิ อีเมล เว็บบอร์ดและสามารถสืบค้นข้อมูลและข่าวสารต่าง ๆ รวมทั้งคัดลอกแฟ้มข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้
     · รูปแบบของข้อมูลในเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ประเภทต่างๆ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั้ง 3 ประเภทที่กล่าวแล้ว เป็นเครือข่ายที่จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ต่างกัน ดังนั้น รูปแบบของการนำเสนอของข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงขอมูลจึงอาจแตกต่างกันได้ โดยเฉพราะอย่างยิ่งในกรณีของอินทราเน็ตแลเอ็กซ์ทราเน็ต ซึ่งผู้ใช้บริการเป็นสมาชิกในวงปิดอาจใช้รูปแบบและวิธีการของตัวเอง แต่ในกรณีเป็นเครือข่ายสาธารณะจะต้องใช้รูปแบบและวิธีการที่เป็นมาตรฐานสากล สำหรับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตปัจจุบัน รูปแบบการนำเสนอข้อมูลและวิธีการเปลี่ยนข้อมูลที่แพร่หลายมากจนกลายเป็นมาตรฐานไปแล้ว คือรูปของ WWW ซึ่งมีอิทธิพลสูงมาก ทำให้เครือข่ายเกือบทุกประเภทเปลี่ยนมาใช้ตามเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากผู้ใช้มีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีแล้ว

         * 2.การสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต
        ใช้วิธีการที่เรียกว่า เซิร์จเอ็นจิน (Search engine) ซึ่งเป็นโปรแกรมค้นหาข้อมูลอัตโนมัติ การค้นหาทำได้โดยการพิมพ์ คำสำคัญ หรือ คีย์เวิร์ด (Key Word) เข้าไปในช่องที่กำหนด แล้วคลิกที่ปุ่ม SEARCH หรือ GO โปรแกรมค้นหาจะเริ่มทำงาน การแสดงผลการค้นหาจะแสดงชื่อเว็บไซต์ URL และ มักจะแสดงสาระสังเขปของเว็บไซต์นั้นๆ ด้วย เพื่อช่วยให้ผู้คนหาสามารถตัดสินใจในเบื้องต้นว่าเว็บไซต์นั้นมีข้อมูลที่ ต้องการหรือไม่ เนื่องจากอินเทอร์เน็ตมีข้อมูลจำเป็นจำนวนมาก บางครั้งเซิร์จเอ็นจิน จะพบข้อมูลข้อมูลนับพันนับหมื่นรายการ ซึ่งทำให้เสียเวลากลั่นกรองหาข้อมูลที่ต้องการจริงๆ เซิร์จเอ็นจิน บางตัวจะมีระบบค้นหาที่ละเอียดขึ้น เรียกว่า แอดวานซ์เชิร์จ(Advanced search หรือ Refined search) โดยให้ผู้ค้นหาสามารถระบุเงื่อนไขได้ เช่น หากจะค้นหาโดย ใช่คีย์เวิร์ด “e-commerce” อาจจะค้นพบเป็นหมื่นรายการ แต่ถ้าคีย์เวิร์ด “e-commerce in Thailand” อาจค้นพบเป็นร้อย และถ้าใช้คีย์เวิร์ด “e-commerce in Thailand AND NOT handicraft”ก็อาจค้นพบน้อยลงเหลือไม่กี่รายก็เป็นได้ วิถีการดังกล่าว เรียกว่าการ การกรอง(Filter) ซึ่งอาศัยการตั้งเงื่อนไขเชื่อมโยงกันด้วยคำที่เป็น Boolean Operators ได้แก่คำว่า AND,OR,NOT ทำ ให้มีผลเท่ากับการเลือกเงื่อนไขแบบใช่ทั้งหมด ใช้บางส่วนหรือไม่ใช้บางเงื่อนไข วิธีจะพบโปรแกรมค้นหาส่วนมาก ผู้แต่งใช้โปรแกรมค้นหาหลายโปรแกรมอาจสับสน เพราะแต่ละโปรแกรมจะมีวิธีการกำหนดการกำหนดให้พิมพ์เงื่อนไขต่างกัน เช่น บางโปรแกรมให้ใช้เครื่องหมายบวก(+) แทน AND แต่บางโปรแกรมอาจใช้เครื่องหมายเดียวกันแทน OR เป็นต้น ผู้ใช้จึงต้องศึกษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแต่ละโปรแกรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น